NGV คืออะไร ?
|
ยานยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Natural Gas Vehicles หรือเรียกย่อๆ ว่า NGV หมายถึงยานยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัด (Compressed Natural Gas : CNG) เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งก็เหมือนกับก๊าซธรรมชาติที่นำมาใช้ในบ้านอยู่อาศัยในหลายๆ ประเทศ เพื่อการประกอบอาหาร การทำความร้อน และการทำน้ำร้อน เป็นต้น
|
|
|
ยานยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง หรือ NGV ได้มีการนำมาใช้ในหลายๆ ประเทศ เกือบทั่วทุกภูมิภาคของโลก แต่อัตราการเพิ่มยังไม่มากนัก เมื่อเทียบกับยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ทั้งนี้ เนื่องจากยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีมานานกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดวิกฤตการณ์น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกเชื้อเพลิงหนึ่ง เพื่อทดแทนการใช้น้ำมัน ประกอบกับก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่มีการเผาไหม้ที่สะอาด จึงได้มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น เพื่อลดปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
นับจากปี 2527 ที่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ได้เริ่มศึกษาและทดลองนำ NGV มาใช้ในรถยนต์ เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเชื้อเพลิงที่มีการเผาไหม้ได้อย่างสมบูรณ์ และปล่อยมลพิษสู่บรรยากาศต่ำสุด เมื่อเทียบกับการเผาไหม้กับเชื้อเพลิงอื่น
ต่อมาในปี 2536 ได้ร่วมกับ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ขยายการใช้ NGV ไปสู่รถโดยสารปรับอากาศที่เป็นรถขนส่งมวลชนสาธารณะ เพื่อให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป ส่งผลให้ NGV เริ่มเป็นที่รู้จักต่อสาธารณชนมากขึ้น
และภายหลังจากที่ ปตท. ได้จัดตั้งโครงการก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้มีการใช้ NGV เมื่อปี 2543 ส่งผลให้ประเทศไทยมีรถยนต์ที่ปรับเปลี่ยนมาใช้ NGV มากขึ้น โดยมีแนวโน้มตัวเลขที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าว่า NGV เป็นเชื้อเพลิงที่มีความเหมาะสมและสามารถใช้ได้กับรถยนต์ทุกประเภท |
|
|
|
ก๊าซธรรมชาติเป็นพลังงานปิโตรเลียมชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับน้ำมัน ที่จริงแล้ว น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน ก็คือซากพืชและซากสัตว์ที่ทับถมกันมานานหลายแสนหลายล้านปี และทับถมสะสมกันจนจมอยู่ใต้ดิน แล้วเปลี่ยนรูปเป็นสิ่งที่เรียกว่า ฟอสซิล ระหว่างนั้นก็มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ จนซากพืชและซากสัตว์หรือฟอสซิลนั้นกลายเป็นน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินที่เรานำมาใช้ประโยชน์ได้ในที่สุด
ในทางวิทยาศาสตร์ เรารู้กันดีว่า ต้นพืชและสัตว์ รวมทั้งคน ประกอบด้วยเซลล์เล็กๆ มากมาย เซลล์เหล่านี้ประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนและธาตุคาร์บอนเป็นหลัก เวลาซากสัตว์และซากพืชทับถมและเปลี่ยนรูปเป็นน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหิน พวกนี้จึงมีองค์ประกอบของสารไฮโดรคาร์บอนเป็นส่วนใหญ่ และเมื่อนำไฮโดรคาร์บอนเหล่านี้มาเผา จะให้พลังงานออกมาแบบเดียวกับที่เราเผาฟืน เพียงแต่เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือถ่านหิน ให้ความร้อนมากกว่า |
|
1. องค์ประกอบของก๊าซธรรมชาติ
ก๊าซธรรมชาติมีก๊าซหลายอย่างเป็นประกอบด้วยกัน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า มีเทน (CH2) , อีเทน (C2H6) , โพรเพน (C3H8) , บิวเทน (C4H10) , ไนโตรเจน (N2) , คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ฯลฯ แต่โดยทั่วไปจะประกอบด้วยก๊าซมีเทนเป็นส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 70 ขึ้นไป ก๊าซพวกนี้เป็นสารไฮโดรคาร์บอน เมื่อจะนำมาใช้ ต้องแยกก๊าซออกจากกันเสียก่อน จึงจะใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ นอกจากสารไฮโดรคาร์บอนแล้ว ก๊าซธรรมชาติยังอาจประกอบด้วยก๊าซอื่นๆ อาทิ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) , ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) , ไนโตรเจน (N2) และน้ำ (H2O) เป็นต้น สารประกอบเหล่านี้สามารถแยกออกจากกันได้ โดยนำมาผ่านกระบวนการแยกที่โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ซึ่งก๊าซที่ได้แต่ละตัวนำไปใช้ประโยชน์ต่อเนื่องได้อีกมากมาย
2. ข้อดีของการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
2.1 คุณสมบัติทั่วไปของก๊าซธรรมชาติ
- เป็นเชื้อเพลิงปิโตรเลียมชนิดหนึ่ง เกิดจากการทับถมของสิ่งมีชีวิตนับล้านปี
- เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ประกอบด้วยก๊าซมีเทนเป็นหลัก
- ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ปราศจากพิษ (ส่วนมากกลิ่นที่เราคุ้นเคยจากก๊าซธรรมชาติเป็นผล มาจากการเติมสารเคมีบางประเภทลงไป เพื่อให้ผู้ใช้รู้ได้ทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ ก๊าซรั่ว)
- เบากว่าอากาศ (ความถ่วงจำเพาะ 0.5-0.8 เท่าของอากาศ)
- ติดไฟได้ โดยมีช่วงของการติดไฟที่ 5-15% ของปริมาตรในอากาศ และอุณหภูมิที่สามารถติดไฟได้เองคือ 650 องศาเซลเซียส
2.2 คุณประโยชน์ของก๊าซธรรมชาติ
- เป็นเชื้อเพลิงปิโตรเลียมที่นำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง มีการเผาไหม้สมบูรณ์
- ลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน
- มีความปลอดภัยสูงในการใช้งาน เนื่องจากเบากว่าอากาศ จึงลอยขึ้นเมื่อเกิดการรั่ว
- มีราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงปิโตรเลียมอื่นๆ เช่น น้ำมัน น้ำมันเตา และก๊าซปิโตรเลียมเหลว
- สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม ช่วยขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
- ก๊าซธรรมชาติส่วนใหญ่ที่ใช้ในประเทศไทยผลิตได้เองจากแหล่งในประเทศ จึงช่วยลดการนำเข้าพลังงานเชื้อเพลิงอื่นๆ และประหยัดเงินตราต่างประเทศได้มาก
3. ประโยชน์ของก๊าซธรรมชาติ
สามารถใช้ประโยชน์จากก๊าซธรรมชาติได้ใน 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
3.1 ใช้เป็นเชื้อเพลิง
เราสามารถใช้ก๊าซธรรมชาติได้โดยตรง ด้วยการใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า หรือในโรงงานอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเซรามิค อุตสาหกรรมสุขภัณฑ์ ฯลฯ และเมื่อนำไปอัดใส่ถังด้วยความดันสูงก็สามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ได้ (NGV)
3.2 นำไปผ่านกระบวนการแยกในโรงแยกก๊าซ
เพราะในตัวเนื้อก๊าซธรรมชาติ มีสารประกอบที่เป็นประโยชน์อยู่มากมาย เมื่อนำมาผ่านกระบวนการแยกที่โรงแยกก๊าซแล้ว ก็จะได้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ มาใช้ประโยชน์ได้ดังนี้
- ก๊าซมีเทน (C1) : ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า ในโรงงานอุตสาหกรรม และนำไปอัดใส่ถังด้วยความดันสูง เรียกว่า ก๊าซธรรมชาติอัด สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์
- ก๊าซอีเทน (C2) และก๊าซโพรเพน (C3) : ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นต้น สามารถนำไปใช้ผลิตเม็ดพลาสติก เส้นใยพลาสติกชนิดต่างๆ เพื่อนำไปใช้แปรรูปต่อไป
- ก๊าซโพรเพน (C3) และก๊าซบิวเทน (C4) : นำเอาก๊าซโพรเพนกับก๊าซบิวเทนมาผสมกัน อัดใส่ถังเป็นก๊าซปิโตรเลียมเหลว (Liquefied Petroleum Gas - LPG) หรือที่เรียกว่า ก๊าซหุงต้ม สามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในครัวเรือน และใช้ในการเชื่อมโลหะได้ รวมทั้งยังนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมบางประเภทได้อีกด้วย
- ไฮโดรคาร์บอนเหลว (Heavier Hydrocarbon) : อยู่ในสถานะที่เป็นของเหลวที่อุณหภูมิ และความดันบรรยากาศ เมื่อผลิตขึ้นมาถึงปากบ่อบนแท่นผลิต สามารถแยกจากไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นก๊าซบนแท่นผลิต เรียกว่า คอนเดนเสท (Condensate) สามารถลำเลียงขนส่งโดยทางเรือหรือทางท่อ นำไปกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปต่อไป
|
ภาพแสดงกระบวนการแยกก๊าซ |
- ก๊าซโซลีนธรรมชาติ (Natural Gasoline) : แม้ว่าจะมีการแยกคอนเดนเสทออกเมื่อทำการผลิตขึ้นมาถึงปากบ่อบนแท่นผลิตแล้ว แต่ก็ยังมีไฮโดรคาร์บอนเหลวบางส่วนหลุดไปกับไฮโดรคาร์บอนที่มีสถานะเป็นก๊าซ เมื่อผ่านกระบวนการแยกจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติแล้ว ไฮโดรคาร์บอนเหลวเหล่านี้ก็จะถูกแยกออก เรียกว่า ก๊าซโซลีนธรรมชาติ หรือ NGL (Natural Gasoline) และส่งเข้าไปยังโรงกลั่นน้ำมัน เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปได้เช่นเดียวกับคอนเดนเสท และยังเป็นตัวทำละลายซึ่งนำไปใช้ในอุตสาหกรรมบางประเภทได้เช่นกัน
- ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : เมื่อผ่านกระบวนการแยกแล้ว จะถูกนำไปทำให้อยู่ในสภาพของแข็ง เรียกว่า น้ำแข็งแห้ง นำไปใช้ในอุตสาหกรรมถนอมอาหาร อุตสาหกรรมน้ำอัดลมและเบียร์ ใช้ในการถนอมอาหารระหว่างการขนส่ง นำไปเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำฝนเทียม และนำไปใช้สร้างควันในอุตสาหกรรมบันเทิง อาทิ การแสดงคอนเสิร์ต หรือ การถ่ายทำภาพยนตร์
|
4. คุณสมบัติของก๊าซธรรมชาติเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น |
|
ตารางที่ 1.1 คุณสมบัติของก๊าซธรรมชาติเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น |
|
ข้อเปรียบเทียบ |
ก๊าซ CNG |
ก๊าซ LPG |
น้ำมันเบนซิน |
น้ำมันดีเซล |
สถานะ |
เป็นก๊าซ |
เป็นก๊าซ และเก็บในรูปของเหลว ที่ความดัน 7 บาร์ |
เป็นของเหลว |
เป็นของเหลว |
น้ำหนัก |
เบากว่าอากาศไม่มีการสะสม เมื่อเกิดการรั่วไหล |
หนักกว่าอากาศจึงเกิดการสะสม ซึ่งเป็นอันตราย |
หนักกว่าอากาศ |
หนักกว่าอากาศ |
ขีดจำกัดการติดไฟ **
(Flammability limit, %โดยปริมาตร) |
5 – 15 % |
2.0 - 9.5 % |
1.4 – 7.6 % |
0.6 – 7.5 % |
อุณหภูมิติดไฟ
(Ignition Temperature) |
650 °C |
481 °C |
275 °C |
250 °C |
|
|
** ขีดจำกัดการติดไฟ (Flammability limit) เป็นขอบเขตการเผาไหม้ที่ต้องมีสัดส่วนของ ไอเชื้อเพลิงในอากาศที่จะลุกไหม้ได้เมื่อมีประกายไฟ หรือมีความร้อนสูงถึงอุณหภูมิติดไฟ |
|
จากคุณสมบัติข้างต้น ทำให้เห็นได้ว่า CNG เป็นก๊าซที่มีความปลอดภัยสูงเมื่อเปรียบเทียบกับเชื้อเพลิงชนิดอื่น |
|
|
|
|
LPG คืออะไร ?
|
|
|
LPG คืออะไร LPG ย่อมาจาก Liquid Petroleum Gas หรือ แก๊สหุงต้มเป็นสารองค์ประกอบจำพวกไฮโดรคาร์บอนชนิดนึง มีการผสมกันของแก๊สหลักอยู่ 2 ชนิด คือ โพรเพน ( Propane ) C3H8 และ บิวเทน ( Butane ) C4H10 ถ้าถูกเก็บอยู่ในสภาวะแรงดันคงที่ จะมีสถานะเป็นของเหลว แรงดันจัดเก็บจะอยู่ที่ 120 – 160 Psi มีการขยายตัวกลายเป็นไอที่สูง คุณสมบัติด้อยกว่าน้ำมันเบ็นซินราวๆ 20% มีค่าอ็อกเทนราวๆ 103 – 105 จึงจุดสันดาปยากกว่าน้ำมันเบ็นซิน แต่การนำไปใช้งานในเครื่องยนต์สามารถทำได้ง่ายและมีมลภาวะต่ำ แต่เนื่องจากตัวมันเองไม่มีกลิ่นจึงไม่สามารถรู้ได้ว่ารั่วซึมหรือไม่ จึงมีการผสมกลิ่นเข้าไปเป็นสารให้กลิ่นจำพวกซัลเฟอร์ หรือ แก๊สไข่เน่านั่นเอง
NGV คืออะไร NGV หรือ CNG เป็นก๊าซที่เกิดจากการย่อยสลายตัวของซากผืชซากสัตว์มีองค์ประกอบหลักเป็น ก๊าซมีเทน( Methane ) CH4 โดยทั่วไปจะมีมีเทนผสมอยู่ตามธรรมชาติประมาณ 70% และจะมีองค์ประกอบของไฮโดรคาร์บอนตัวอื่นๆผสมอยู่บ้าง เป็นก๊าซที่ได้จากบ่อก๊าซโดยเฉพาะ จะถูกส่งผ่านท่อเข้าโรงแยกก๊าซ ก่อนที่จะนำมาใช้ในรถยนต์ได้จะต้องถูกอัดตัวและเก็บอยู่ในถังด้วยแรงดัน ประมาณ 3200 Psi ขณะใช้งาน มีค่าอ็อกเทนประมาณ 110 ไม่มีสีและกลิ่นเป็นก๊าซที่เบากว่าอากาศ เนื่องจากเป็นสถานะก๊าซการตวงวัดจึงจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักจากการอัดตัวของ เนื้อก๊าซ ค่าพลังงานเมื่อเทียบจากน้ำมันเบ็นซิน 20 ลิตร จะใกล้เคียงกับก๊าซ NGV 16 กิโลกรัม ( เต็มถัง NGV ขนาด 70 ลิตร )
หมายเหตุ : ค่าแรงดันก๊าซ LPG ขณะอยู่ในถังมีสถานะเป็นของเหลว มีค่าแรงดัน 100-130 PSI ( ปอล์นต่อตารางนิ้ว) หรือ 4-6 BAR NGV ขณะอยู่ในถังมีสถานะเป็นก๊าซ มีค่าแรงดัดประมาณ 2200-2800 PSI หากเติมเต็มๆจะถึง 3000 PSI หรือ 200 BAR
ความแตกต่างของ CNG กับ LPG
|
พลังงานทางเลือกในกลุ่มก๊าซธรรมชาติสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามการกำเนิดของมัน นั่นก็คือก๊าซ Liquefied Petroleum Gas หรือ LPG และ Compressed Natural Gas หรือ CNG ซึ่งในประเทศไทยเราจะรู้จักก๊าซชนิดนี้ในนาม NGV (ซึ่งที่จริงย่อมาจากคำว่า Natural Gas for Vehicle)
LPG หรือ Liquefied Petroleum Gas เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ที่มีองค์ประกอบของก๊าซโพรเพน (Propane) และบิวเทน (Butane)เป็นส่วนใหญ่ เป็นก๊าซที่หนักกว่าอากาศ โดยตัวเองไม่มีสีไม่มีกลิ่น ดังนั้นกลิ่นของ LPG จะเป็นการแต่งกลิ่นเพิ่มเติมในภายหลังเมื่อใช้เป็นพลังงานจะให้ค่าออกเทนถึง 105RON ก๊าซ LPG มีแรงอัดที่ต่ำ ขณะอยู่ในถังจะมีสถานะเป็นของเหลว มีค่าแรงดัน 100-130 PSI (ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) หรือประมาณ 4-6 BAR
แตกต่างจาก CNG ที่คุ้นปากในชื่อ NGV ซึ่งเป๊นก๊าซธรรมชาติที่เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดที่มีองค์ประกอบของก๊าซมีเทน (Methane) เป็นส่วนใหญ่ ให้ค่าออกเทนสูงถึง 120 RON อยู่ในสถานะก๊าซที่มีแรงดันสูงมาก ๆ ขณะอยู่ในถังจะมีสถานะเป็นก๊าซ มีค่าแรงดันประมาณ 2,200 – 2,800 PSI หรือประมาณ 200 BAR!
นอกจากความแตกต่างในด้าน “ธรรมชาติของก๊าซ” แล้ว การพิจารณาว่าจะนำ “ก๊าซ” ชนิดใดมาเป็นเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ของเรายังสามารถมองในแง่ของเศรษฐกิจได้อีกด้วย
LPG เป็นก๊าซชนิดเดียวกันกับก๊าซหุงต้ม ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยไม่สามารถผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการภายในประเทศได้ทั้งหมด จนเริ่มมีการนำเข้าบ้างแล้ว ในขณะที่ก๊าซ CNG ประเทศไทยมีศักยภาพในการขุดเจาะจากแหล่งต่าง ๆ ภายในประเทศเพื่อนำมาใช้ได้อย่างเพียงพอ ประกอบกับได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ ดังนั้นหากมองเฉพาะจุดแข็งเรื่องราคากันแล้วในระยะยาว CNG น่าจะมีภาษีดีกว่า LPG แต่ปัญหาในระยะสั้นก็คือ ปริมาณสถานีบริการ CNG ยังมีน้อย ไม่เพียงพอต่อการให้บริการ ดังนั้นในระยะสั้น นี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยในการตัดสินใจเลือกก๊าซสำหรับรถยนต์ของคุณ แต่ในระยะยาว กับทิศทางนโยบายของภาครัฐแล้ว ก็ไม่แน่ว่าปัญหานี้จะบรรเทาเบาบางลง
กล่าวโดยสรุปก็คือ หากจะติดตั้งระบบแก๊สในรถยนต์ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ชนิดของก๊าซที่จะเลือกใช้ โดยมีปัจจัยเรื่องแรงอัดที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ราคาค่าติดตั้งเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาในขั้นถัดมา และมีราคาก๊าซในระยะยาวเป็นตัวแปรสำคัญในการตัดสินใจ ระยะสั้น LPG มีความเหมาะสมกว่าหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านค่าติดตั้งที่ถูกกว่า มีปั๊มให้เติมเยอะ สะดวกสบาย ระยะทางต่อถังวิ่งไกลกว่า 3 เท่าตัว แต่มองกันยาวๆ แล้ว CNG จะมีภาษีดีกว่าเพราะได้รับการส่งเสริมสนับสนุนอย่างเป็นทางการ อีก 5 ปี 10 ปี น่าจะมีปั๊ม NGV กระจายมากพอ โดยเฉพาะราคาก๊าซจะถูกกว่ามาก และมีการประกาศว่าจะประกันราคากันที่ไม่เกิน 50% ของน้ำมัน
ตารางแสดงการเปรียบเทียบคุณสมบัติเบื้องต้นของ CNG และ LPG
คุณสมบัติ |
CNG |
LPG |
ส่วนประกอบหลัก |
ก๊าซมีเทน |
ก๊าซโพรเพน และบิวเทน |
สถานะ |
ก๊าซ แรงดัน 200 บาร์ |
เป็นก๊าซแต่ถูกเก็บในรูปของเหลว แรงดัน 7 บาร์ |
น้ำหนัก |
เบากว่าอากาศ ไม่สะสมเมื่อรั่วไหล |
หนักกว่าอากาศ สะสมเมื่อรั่วไหล |
ช่วงการติดไฟ (% โดยปริมาตร) |
5-15% |
2.0-9.5% |
อุณหภูมิติดไฟ |
650 °C |
481 °C |
ค่าความร้อน |
35,947 BTU/กก. |
26,595 BTU/ลิตร |
ค่าออกเทน RON*1 |
120 |
105 |
ค่าออกเทน MON*2 |
120 |
97 |
*1 RON (Research Octane Number) เป็นค่าออกเทนที่บ่งบอกประสิทธิภาพการต่อต้านการน็อคในเครื่องยนต์หลายสูบที่ทำงานอยู่ในรอบต่ำ โดยใช้เครื่องยนต์ทดสอบมาตรฐานภายใต้สภาวะมาตรฐาน 600 รอบต่อนาที
*2 MON (Motor Octane Number) เป็นค่าออกเทนที่บ่งบอกประสิทธิภาพการต่อต้านการน็อคในเครื่องยนต์หลายสูบ ในขณะทำงานที่รอบสูง โดยใช้เครื่องยนต๋ทดสอบมาตรฐานภายใต้สภาวะมาตรฐาน 900 รอบต่อนาที
ที่มา : บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
ไหนๆ จะติดตั้งแก๊สทั้งที เรามาทำความรู้จักและเปรียบเทียบกันดีกว่า ว่าระหว่าง แก๊ส LPG กับ แก๊ส NGV เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
(ก๊าซ LPG) แก๊ส LPG |
(ก๊าซ NGV) แก๊ส NGV |
แหล่งก๊าซ LPG
เป็นก๊าซที่มีส่วนผสมระหว่างก๊าซโพรเพน (C3) และก๊าซบิวเทน (C4) ซึ่งจะมาจาก 3 แหล่งหลัก คือ
1. โรงแยกก๊าซ ปตท. ซึ่งมีสัดส่วนการผลิตที่ 54%
2. โรงกลั่นน้ำมัน มีสัดส่วนการผลิตที่ 40%
3. โรงงานปิโตรเคมี มีสัดส่วนการผลิตที่ 6%
หมายเหตุ การผลิต LPG มีปริมาณ 180.36 ล้านกิโลกรัมต่อเดือน มาจากโรงแยกก๊าซ 96.66 ล้านกิโลกรัม จากโรงกลั่น 73.44 ล้านกิโลกรัม และจากโรงงานปิโตรเคมี 10.26 ล้านกิโลกรัม (ข้อมูลเฉลี่ย ณ สิ้นปี 2549) |
แหล่งก๊าซ NGV
เป็นก๊าซที่มาจาก อ่าวไทยและนำเข้าจากประเทศพม่า ซึ่งก๊าซที่นำมาจากอ่าวไทย จะผ่านกระบวนการแยกก๊าซที่โรงแยกก๊าซ ซึ่งจะทำการแยกก๊าซที่มีไฮโดรคาร์บอน ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปออก จะเหลือเฉพาะก๊าซที่มีคาร์บอน 1 ตัว ซึ่งเรียกว่าก๊าซมีเทน และจะถูกส่งเข้าระบบท่อ เพื่อนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า รองลงมาจะถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และบางส่วนนำมาใช้ในภาคขนส่ง โดยนำก๊าซธรรมชาติไปอัดใส่ถังด้วยความดันสูง และนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ NGV หรือ CNG
ณ สิ้นปี 2549 ปริมาณก๊าซที่นำขึ้นจากอ่าวไทย มีปริมาณวันละประมาณ 2,225 ล้านลูกบาศก์ฟุต ผ่านขบวนการแยกก๊าซ C2 (อีเทน) C3 (โพรเพน) และ C4 (บิวเทน) ออกประมาณ 512 ล้านลูกบาศก์ฟุต หรือร้อยละ 23 ส่วนที่เหลือ(ซึ่งมีก๊าซมีเทนเป็นส่วนประกอบหลัก) ประมาณ 1,713 ล้านลูกบาศก์ฟุต จะถูกส่งกลับเข้าระบบท่อ
สำหรับก๊าซที่นำเข้าจากพม่า จะถูกนำมาใช้โดยตรง โดยไม่ผ่านโรงแยกก๊าซ โดยมีการนำเข้าทั้งสิ้น 865 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน |
คุณสมบัติ LPG
LPG เป็นก๊าซที่มีส่วนผสมระหว่างก๊าซโพรเพน (C3) และก๊าซบิวเทน (C4) ซึ่งมีคุณสมบัติที่หนักกว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะสะสมตามพื้น เมื่อโดนประกายไฟสามารถลุกไหม้ได้
LPG เป็นก๊าซที่สามารถเปลี่ยนสถานะจากก๊าซเป็นของเหลวได้ ภายใต้ความดันตั้งแต่ 6-7 บาร์ ส่วนขีดจำกัดการติดไฟจะต่ำกว่า NGV คือประมาณ 2-9.5% โดยปริมาตร ซึ่งหมายความว่า ถ้ามีปริมาณก๊าซ LPG ตั้งแต่ 2% ขึ้นไป สามารถจะลุกติดไฟได้ ส่วนอุณหภูมิติดไฟจะประมาณ 480 องศาเซลเซียส ซึ่งจะต่ำกว่าก๊าซ NGV |
คุณสมบัติ NGV
NGV มีก๊าซมีเทน (C1) เป็นส่วนประกอบหลักซึ่งมีคุณสมบัติเบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะกระจายตัวขึ้นสู่บรรยากาศโดยรวดเร็ว และจะคงสถานะของก๊าซได้ภายใต้ความดันสูง
สำหรับขีดจำกัดการติดไฟต้องมีปริมาณก๊าซตั้งแต่ 5-15% จึงจะมีโอกาสลุกติดไฟได้เมื่อมีประกายไฟเกิดขึ้น ส่วนอุณหภูมิติดไฟด้วยตัวเองจะสูงถึง 650 องศาเซลเซียส |
ความปลอดภัย LPG
LPG เป็นก๊าซที่อันตรายกว่าก๊าซ NGV เนื่องจากเป็นก๊าซที่หนักกว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะเกิดการสะสมตัวตามพื้นล่าง และสามารถลุกติดไฟได้ถ้าเกิดประกายไฟ รวมถึงขีดจำกัดการติดไฟและอุณหภูมิติดไฟต่ำกว่าก๊าซ NGV |
ความปลอดภัย NGV
NGV เป็นเชื้อเพลิงที่ปลอดภัยที่สุด เมื่อเทียบกับ LPG น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงที่เบากว่าอากาศ ดังนั้นเมื่อเกิดการรั่วไหลจะกระจายตัวขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศด้านบน อย่างรวดเร็ว ไม่เกิดการสะสมตัวเหมือน LPG รวมถึงขีดจำกัดการติดไฟ และอุณหภูมิติดไฟด้วยตัวเองจะสูงกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น |
ระบบการจัดจ่าย LPG
LPG จะใช้การขนส่งโดยรถบรรทุกจากคลังก๊าซ แต่ละแห่ง (ปตท. มีคลังก๊าซ LPG 7 คลัง ทั่วประเทศ) ไปยังสถานีเติมก๊าซ LPG ซึ่งการขนส่งส่วนใหญ่ลูกค้าจะเป็นผู้นำรถบรรทุกมาเติมก๊าซ ที่คลังเอง และรถบรรทุกที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นรถขนาด 8 ตัน |
ระบบการจัดจ่าย NGV
ระบบการขนส่ง NGV จะมี 2 รูปแบบ คือ
1) ขนส่งผ่านทางระบบท่อส่งก๊าซ โดยสถานีที่ใช้การขนส่งทางระบบท่อ จะต้องเป็นสถานีที่อยู่ตามแนวท่อส่งก๊าซ ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยลดภาระค่าขนส่งลงได้ แต่ต้องมีการลงทุนติดตั้งระบบมิเตอร์เพื่อวัดปริมาณก๊าซ
2) ขนส่งโดยใช้รถบรรทุก ซึ่งสถานีที่ไม่อยู่ตามแนวท่อส่งก๊าซจำเป็นต้องใช้รถบรรทุกหัวลาก (Trailer) และรถบรรทุกหกล้อ วิ่งขนส่ง โดยการขนส่งแต่ละเที่ยวของรถหัวลาก จะบรรทุกก๊าซได้ประมาณ 3.5 ตัน ส่วนรถบรรทุกหกล้อจะบรรทุกก๊าซได้ประมาณ 1.5 ตัน ซึ่งการขนส่งนี้รถบรรทุกจะวิ่งเติมก๊าซจากสถานีแม่ และวิ่งไปส่งที่สถานีลูก |
การนำมาใช้กับเครื่องยนต์ LPG
LPG สามารถนำมาใช้กับเครื่องยนต์เบนซิน และดีเซลเช่นเดียวกับ NGV โดยการนำมาใช้เครื่องยนต์เบนซิน จะมี 2 ระบบเช่นเดียวกับ NGV คือ
1) ระบบดูดก๊าซ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ประมาณ 15,000 – 28,000 บาท
2) ระบบฉีดก๊าซ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ประมาณ 35,000 – 43,000 บาท
ส่วนอัตราความสิ้น เปลืองเชื้อเพลิง LPG อยู่ที่ 11.1 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งเป็นอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยของการวิ่งทดสอบในเมือง, นอกเมือง และบนทางด่วน (โครงการทดสอบรถยนต์ใช้ NGV, LPG และเบนซิน โดยกรมธุรกิจพลังงาน) ถ้าคิดเป็นค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้นต่อ 1 กิโลเมตร การใช้ LPG จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 0.92 บาท |
การนำมาใช้กับเครื่องยนต์ NGV
NGV สามารถนำมาใช้กับเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน การใช้ NGV จะแบ่งเป็น 2 ระบบคือ
1) ระบบดูดก๊าซ จะมีการทำงานคล้ายกับระบบคาร์บูเรเตอร์ ของเครื่องยนต์เบนซิน โดยจะมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ประมาณ 38,000 – 45,000 บาท
2) ระบบฉีดก๊าซ เป็นระบบที่มี ECU ควบคุมการจ่ายก๊าซตามลำดับการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ โดยมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ประมาณ 58,000 – 65,000 บาท
ส่วนอัตราความสิ้น เปลืองเชื้อเพลิง NGV อยู่ที่ 15.26 กิโลเมตร/กิโลกรัม ซึ่งเป็นอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยของการวิ่งทดสอบในเมือง, นอกเมือง และบนทางด่วน (โครงการทดสอบรถยนต์ใช้ NGV, LPG และเบนซิน โดยกรมธุรกิจพลังงาน) ถ้าคิดเป็นค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้นต่อ 1 กิโลเมตร การใช้ NGV จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 0.59 บาท ทั้งนี้ NGV ประหยัดกว่า LPG ร้อยละ 35 และประหยัดกว่า แก๊สโซฮอล์ ร้อยละ 74 |
ราคาขาย LPG ประมาณ 11.70 บาท/ลิตร
Update 11 ก.พ.2555 05:00 |
ราคาขาย NGV 9 บาท/กิโลกรัม
Update 11 ก.พ.2555 05:00 |
หมายเหตุ
- ค่าความร้อน NGV 1 กิโลกรัม เท่ากับ 35,947 BTU, ค่าความร้อน LPG 1 ลิตร เท่ากับ 25,380 BTU
- เมื่อเปรียบเทียบราคาค่าติดตั้งและราคาขาย จะพบว่าราคาค่าติดตั้งของ NGV จะแพงกว่า LPG แต่เมื่อเทียบราคาค่าเชื้อเพลิง NGV จะถูกกว่า LPG ถึงร้อยละ 33
- ในอนาคตรถยนต์ NGV คงจะได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะมีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์กำลังพัฒนาการผลิตรถยนต์ใช้ NGV จากโรงงานออกสู่ตลาดอยู่หลายราย |
ข้อมูลอ้างอิงจาก pttplc.com