ReadyPlanet.com
dot dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot
dot


แสนสุขวิล่าปูดำ
HONDA CIVIC 2016
HONDA CITY ALL NEW 2016
PAJERO SPORT 2.4 GLS
VOLVO  XC70  2.3AT 20valve


โสม (Ginseng)

 

โสม (Ginseng)
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโสม                                                                
-ประเภทของโสม
-สรรพคุณในการรักษาโรค
นานาสรรพคุณรักษาโรคของโสม                                                       
ไขปัญหาข้อสงสัยของการใช้โสม                                                        
-ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงใช้โสมได้หรือไม่
-คนที่มีความดันโลหิตต่ำ เมื่อรับประทานโสมจะช่วยเพิ่มความดันโลหิตหรือไม่?
-โสมช่วยลดคอเลสเตอรอลจริงหรือไม่?
-ผู้ป่วยสมองอัมพาตใช้โสมได้หรือไม่?
-ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลมีวิธีการรักษาด้วยโสมได้อย่างไร?
-โสมช่วยรักษาโรคมะเร็งได้หรือไม่?
-อาการของวัยหมดประจำเดือนของผู้หญิง โสมช่วยได้อย่างไร?
-โสมป้องกันการเกิดผลแทรกซ้อนของยาแผนปัจจุบันได้จริงหรือ?
-หญิงตั้งครรภ์ใช้โสมได้หรือไม่?
-เด็กรับประทานโสมได้หรือไม่?
-หลังจากรับประทานเป็นเวลานานเท่าใด การทำงานของโสมจึงจะแสดงผล?
-โสมรับประทานร่วมกับยาชนิดอื่นได้หรือไม่?
-โรคเบาหวานรับประทานโสมได้หรือไม่?
-โสมรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานได้หรือไม่?
 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโสม
โสมเป็นที่รู้จักกันดีอย่างแพร่หลายว่าเป็นยาสมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณมากมาย  เป็นยาบำรุงที่ทำให้ร่างกายคึกคัก  แจ่มใส  มีชีวิตชีวาและกระปรี้กระเปร่า  ภาษาจีนแต้จิ๋วเรียกโสมว่า  หยิ่งเซียม
ส่วนของต้นโสมที่นำมาใช้ทำเป็นยา  เป็นส่วนรากที่อยู่ใต้ดิน  ดูคล้าย ๆ รูปร่างของคน  จึงชื่อว่า  โสมคน  ตำนานเล่าว่า  โสมคน  มีหน้าคล้ายคน  มีศีรษะ  มีเท้า  เคลื่อนไหวได้  จึงมีคนตั้งชื่อว่าเป็น  หญ้าทิพย์  แต่ก็เป็นแค่เรื่องที่คนโบราณเล่าต่อ ๆ กันมา  แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ก็คือ  คุณค่าทางยาของโสมที่เป็นเลิศในบรรดาสมุนไพรจีนทั้งหลาย มีการนำโสมมาใช้กันเป็นเวลานานกว่าสองพันปีแล้ว  ในตำรายาจีนเล่มแรกของจีนชื่อ  สิ่งหลงปิ้งเช่าเก็ง  บันทึกไว้ว่า  “โสม  เป็นยารสหวาน  มีคุณสมบัติเย็นเล็กน้อย  มีสรรพคุณบำรุงอวัยวะภายในทั้งห้า (หัวใจ  ตับ  ปอด  ม้าม  ไต)  รับประทานแล้วจะทำให้จิตใจสงบระงับการหวาดผวา  ใจสั่น  สมองโปร่ง  รับประทานเป็นประจำจะทำให้มีอายุยืนยาว”
ประเภทของโสม
แบ่งตามวิธีการแปรสภาพ
๑.     โสมแดง  (Radix  Ginseng  Rubra)  ก่อนนำไปใช้ให้ตัดรากฝอยและรากแขนงออก  ล้างน้ำให้สะอาดแล้วจึง
นำไปนึ่งด้วยไอน้ำเดือดประมาณ  ๒-๓  ชั่วโมง  จนกระทั่งรากโสมเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและเปลือกนอกใสขึ้น  จากนั้นนำไปตากหรืออบแห้ง
๒.   โสมน้ำตาล  นำโสมสดมาล้างจนสะอาด  แล้วแช่ในน้ำเดือด  ๕-๑๐  นาทีจึงเอาขึ้น  แล้วนำไปแช่ในน้ำเย็นอีก ๑๐  นาที  จากนั้นจึงนำไปตากแห้ง  พอแห้งดีแล้วใช้เข็มเจาะรากโสมให้เป็นรูเล็ก ๆ หลายรู  จากนั้นนำไปแช่ในน้ำเชื่อเข้มข้น  (น้ำ  ๑๐๐  ซีซี ผสมน้ำตาลทรายขาว ๑๓๕ กรัม)  แช่ไว้  ๒๔  ชั่วโมงจึงนำขึ้นมาอบให้แห้ง  ก็จะได้โสมน้ำตาลหรือโสมขาว
๓.   โสมตากแห้ง  (Radix  Ginseng  cruda)   เอาโสมสดล้างสะอาด  แล้วนำไปตากแดด  ๑  วัน  จากนั้นนำไปอบ
ด้วยกำมะถัน  แล้วจึงนำไปอบหรือตากให้แห้งสนิทอีกครั้ง
สารเคมีที่อยู่ในโสม
สารเคมีที่พบในโสม  มีหลายชนิด  เช่น  พาแนกโซซายด์  (Panaxosides)  ที่มีส่วนสำคัญในการออกฤทธิ์ของยา  สาร   พานาไซนอล  (Panaxynol)  และเอเลเมเน  (Elemene)  ที่เป็นน้ำมันหอมระเหย  และยังมีกรดอินทรีย์  กรดอะมิโน  ไขมัน  และวิตามินอีกหลายชนิด
๑.   สารซาโปนิน  (Saponin)  ประโยชน์ของสารซาโปนิน  พบว่าทำให้
§ เร่งการผลิตฮอร์โมนของไต
§ ช่วยเพิ่มความต้านทานต่ออาการเครียด
§ ช่วยการสังเคราะห์  ดีเอ็นเอ(DNA:สารโปรตีนกำหนดพันธุกรรม)ในไขกระดูก
§ ช่วยเพิ่มจำนวนของเม็ดเลือดขาว และเม็ดเลือดแดง
§ ช่วยเพิ่มจำนวนอสุจิของเพศชาย
§ ช่วยสลายไขมันและการก่อตัวของไขมัน
§ ระงับอาการทางศูนย์กลางประสาทในสมอง
§ ช่วยยืดระยะเวลาการนอนหลับให้นาน
§ ระงับความเจ็บปวด
§ กระตุ้นประสาทศูนย์กลางในสมอง
§ แก้ร้อนใน
§ ลดอาการอ่อนเพลีย
๒.  สารโปตัสเซียม  (Potassium)  และแมกนีเซียม  (Magnesium) 
แร่ธาตุที่อยู่ในโสม  โดยเฉพาะแมกนีเซียม  มีมากถึง   ๑๐  เท่าที่อยู่ในสมุนไพรและธาตุอื่น ๆ  แมกนีเซียมอยู่ในร่างกายในรูปของอะตอมธาตุ  ซึ่งเป็นอะตอมโลหะที่มีมากในเซลล์รองลงมาจากโปตัสเซียม  ส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนของกระดูก  กล้ามเนื้อกระดูก  กล้ามเนื้อหัวใจ  ตับ  ไต  และตา  ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยการทำงานของเอนไซม์  (Enzyme)  และ เป็นสารที่สำคัญของร่างกาย
๓.  สารป้องกันการชรา จากการทดลองของศาสตราจารย์ในโรงพยาบาลฟูจิ  ประเทศญี่ปุ่น  แผนกการวิจัยยาสมุนไพรจีนพบว่า  การรับประทานโสม  จะทำให้จำนวน  อาร์เอ็นเอ  และดีเอ็นเอ  เพิ่มขึ้น  และยังมีสรรพคุณที่รักษาโรคเบาหวานเหมือนอย่างอินซูลิน  (Insulin)  ในเดือนกันยายน  พ.ศ. ๒๕๑๘  ในงานประชุมวิชาแพทย์นานาชาติที่จัดขึ้นในกรุงโซล  ประเทศเกาหลี  นักวิชาการชาวเกาหลีได้เปิดเผยว่า  พบสารชนิดใหม่ชื่อ  มอลต์ฟีนอล  (Malt phenol)  ซึ่งพบในโสมแดง  (โสมที่ตากแห้งหลังนึ่ง)  ซึ่งช่วยระงับการออกซิเดชัน  (Oxidation: การรวมตัวของออกซิเจนกับธาตุ)  ของไขมัน  ซึ่งเป็นไขมันส่วนที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกจากร่างกายได้และเป็นสารที่ทำให้แก่ชรา  ก่อให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับส้นเลือดแข็งตัวและเส้นเลือดตีบตัน  ดังนั้น  โสมจึงมีสรรพคุณป้องกันและรักษาโรคต่าง ๆ ของผู้สูงอายุได้  และช่วยยับยั้งการแก่ชราด้วย
สรรพคุณในการรักษาโรค
๑.  เพิ่มการผลิตอสุจิของเพศชาย ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น  ใช้เวลา  ๓  ปี  ในการเจาะจงศึกษากับผู้ป่วยที่มีปริมาณของอสุจิน้อยกับสารประกอบในโสม  จากหลักฐานการรักษาพบว่าในด้านการเพิ่มจำนวนอสุจิ  มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ  ๗๐  ในด้านการกระตุ้นการเคลื่อนตัวของอสุจิมีประสิทธิผลถึงร้อยละ  ๖๕  จากการสรุปผลรวมแล้วพบว่า  ความสามารถในการให้กำเนิดบุตรเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ  ๖๐  ดังนั้น  โสมจึงได้ชื่อว่าเป็นยาทิพย์ในการเพิ่มพลังของเพศชาย
๒.  ยาป้องกันโรคภัยต่าง ๆ คุณสมบัติพิเศษของโสม  อยู่ที่โสมเป็นยาป้องกันโรคซึ่งแนวคิดที่เป็นเอกลักษณ์ของวิชาแพทย์จีนเชื่อว่า  โสมมีสรรพคุณที่จะช่วยบรรเทาหรือบำบัดอาการขั้นเริ่มต้นก่อนที่อาการของโรคจะเกิดขึ้นจริง ๆ  ถึงแม้ว่าการค้นพบยาปฏิชีวนะ จะทำให้ยุคของโรคติดต่อได้จบสิ้นลงก็ตาม  แต่โรคเบาหวาน  ความดันโลหิตสูง  โรคมะเร็ง  และโรคไขข้ออักเสบ  และโดยการนำโสมมาใช้รักษานั้นกำลังเป็นหัวข้อการศึกษาที่สำคัญและยังมีการวิจัยเพื่อการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา  วงการแพทย์ยังคงต้องศึกษาอยู่
๓.  สรรพคุณบำรุงเพิ่มจำนวนเลือด
๑)  สร้างความแข็งแรง
โสมเป็นยาป้องกันโรค  สรรพคุณที่สำคัญอยู่ที่เสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง  และเสริมสร้างพลังงาน  นอกจากจะมีประสิทธิผลต่อคนสูงอายุแล้ว  ยังใช้ได้ดีกับการฟื้นฟูสุขภาพของผู้ป่วยในช่วงพักฟื้นอีกด้วย  อาการมือเท้าเย็น  เวียนหัวตาพร่ามัว  หูอื้อหงุดหงิดง่ายและอ่อนเพลียก็สามารถรักษาจากโสมได้  และยังเพิ่มพลังของเพศชายได้จากที่เคยกล่าวมาแล้วไม่นานนี้  สรรพคุณในการบำรุงเลือดของโสมก็ได้รับการสนใจอย่างมาก  จากการทดลองวิจัยพบว่า  โรคโลหิตจางของผู้หญิง  คนสูงอายุ  ไขข้ออักเสบ  โรคไต  และโรคโลหิตจางเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาด้วยการเสริมธาตุเหล็กให้หายได้  แต่โสมสามารถช่วยบำบัดได้
๒)  โรคกระเพาะอาหาร  กระเพาะอาหารเป็นแผล    จากการทดลองกับหนูพบว่า  โสมมีสรรพคุณรักษาและป้องกันโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลได้อย่างดี  โดยเริ่มจากใช้กรดน้ำส้มทำให้หนูทดลองเกิดสภาพกระเพาะอาหารเป็นแผล  แล้วจึงแบ่งหนูพวกนี้ออกเป็น  ๒  กลุ่ม  กลุ่มหนึ่งให้รับประทานอาหารที่ผสมโสมลงไป  อีกกลุ่มให้รับประทานอาหารที่ไม่ผสมโสม  ผลสรุปพบว่า  กลุ่มแรกแผลที่กระเพาะอาหารหายได้เร็วกว่ากลุ่มหลัง
การทดลองอีกกรณีคือ  การสร้างความกดดันต่าง ๆ ให้กับหนูทดลอง  จึงทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล  และแบ่งหนูเป็น  ๒  กลุ่มอย่างเดิม  และให้โสมกับกลุ่มหนึ่ง  พบว่ามีเฉพาะหนูกลุ่มที่ให้โสมเท่านั้นที่รักษาโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลได้อย่างหายขาด  และยังมีผลป้องกันโรคกระเพาะอาหารได้ด้วย
๓)  โรคสุขภาพกายและใจ หมายถึงอาการของโรคที่กลัวหนาว  ปวดเมื่อยไหล่และนอนไม่หลับ  ซึ่งโสมก็มีสรรพคุณที่จะรักษาโรคที่เกิดทั้งด้านกายและใจ  เริ่มแรก  โสมช่วยลดอาการคั่งของเลือดซึ่งรักษาอาการกลัวหนาวและปวดไหล่ได้  และยังทำให้ระบบการหมุนเวียนของเลือดที่จะส่งไปยังสมองมีความคล่องตัว  จากสรรพคุณที่ช่วยระงับประสาท  ก็จะทำให้ร่างกายและใจปรับสู่ความสมดุลอีกครั้ง
๔)  โรคมะเร็ง ผลรักษามะเร็งของโสมก็ยังอยู่ในขั้นวิจัย  แต่จากการทดลองของแพทย์ชาวญี่ปุ่นพบว่า  โสมมีผลในการยับยั้งการขยายของมะเร็ง  ซึ่งสารที่ทำให้เกิดสรรพคุณนี้  ก็คือ  ซาโปนิน  ที่มีอยู่ในโสมนั่นเอง  โดยเฉพาะการรักษาโรคมะเร็งตับจากการทดลองที่นำเซลล์เนื้องอกร้ายที่ชื่อว่าเนื้องอก  ๑๐๘  ใส่ไว้ในตัวหนูทดลองตัวหนึ่งพบว่าเพียงไม่กี่สัปดาห์ที่ให้การรักษาด้วยโสม เนื้องอกได้หายไปจากหนู  สรุปว่า  โสมสามารถทำให้เซลล์มะเร็งแปรสภาพกลับเป็นเซลล์ปกติได้
๕)  โรคพิการจากสารเคมี จากการทดลองกับหนู  โดยการผสมปรอทในอาหารของหนู  เมื่อมีปรอทจำนวนมากในตัวหนู  พบว่า  โสมสามารถทำให้ปริมาณปรอทในตัวหนูลดลงได้    จากการวิจัยพบว่า  โสมช่วยขับพิษให้ออกจากร่างกายได้โดยผ่านทางปัสสาวะ  ยาทั่วไปที่ห้ามรับประทานในช่วงตั้งครรภ์  โสมกลับเป็นข้อยกเว้น  เพราะช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย  ดังนั้น  หญิงมีครรภ์ที่ต้องการป้องกันความพิการในทารกแรกเกิด  และต้องการให้เด็กมีสุขภาพที่แข็งแรง  ก็ควรรับประทานโสมอย่างสม่ำเสมอ
๖)  โรคไขข้ออักเสบโสมสามารถรักษาโรคโลหิตจาง  ไขข้ออักเสบ  ที่ไม่สามารถรักษาจากยาบำรุงเลือดทั่วไปได้  และช่วยยับยั้งอาการปวดที่เกิดจากโรคไขข้ออักเสบได้ด้วยนอกจากนี้  ยังช่วยลดอาการเหน็บชาที่มือและเท้าได้ด้วยในด้านการรักษาโรคไขข้ออักเสบ  โสมช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรง 
๗)  เป็นยาเสริมสรรพคุณยาอื่น ๆ โสมมีสรรพคุณประการหนึ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้คือ  มีความสามารถในการเสริมฤทธิ์ยาชนิดอื่นได้  ไม่ว่าจะเป็นยาแผนใหม่หรือยาแผนโบราณ  เมื่อใช้ร่วมกับโสมแล้วจะช่วยเสริมสร้างการทำงานของเซลล์ภายในร่างกายได้ โสมยังช่วยลดผลข้างเคียงที่เกิดจากยาที่ออกฤทธิ์แรง  ตัวอย่างเช่น  การบำบัดโรคมะเร็ง  ยาที่ระงับอาการโรคมะเร็ง  ถึงแม้ว่าจะเห็นผลได้ดี  แต่ก็มีผลข้างเคียงและออกฤทธิ์แรง  ทำให้เป็นอุปสรรคในการรักษาขั้นตอนอื่น  ผลข้างเคียงได้แก่  เม็ดเลือดขาวลดลง  เป็นไข้สูง  เบื่ออาหาร  ดังนั้น  หากเราผสมโสมลงไปด้วยในการบำบัดก็จะช่วยป้องกันหรือลดอาการข้างเคียงดังกล่าว.
นานาสรรพคุณรักษาโรคของโสม
1.  1.           ช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงต้านโรคหวัด
2.    2.           ช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดีและช่วยป้องกันเส้นเลือดแข็งตัว
3.    3.           ช่วยสลายเลือดคั่งป้องกันสมองอัมพาตและหัวใจพิการ
4.    4.           ช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน
5.    5.           ช่วยบรรเทาอาการของโรคโลหิตจาง
6.    6.           ช่วย ต้านโรคกลัวหนาว
7.    7.           ช่วยบรรเทาอาการของโรคความดันโลหิตต่ำ
8.    8.           ช่วยทำให้ร่างกายไม่เหนื่อยล้า
9.    9.           ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย
10.10.  ช่วยปกป้องตับของคนดื่มสุรา
11.11.  ช่วยต้านโรคมะเร็งและทำลายเนื้องอก
12.12.  ช่วยชะลอความชรา
ไขปัญหาข้อสงสัยของการใช้โสม
คำถาม : ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงใช้โสมได้หรือไม่
ตอบ : จากการทดลองของโรงพยาบาลในญี่ปุ่นพบว่า  โสมช่วยลดความดันโลหิตได้ เมื่อผู้ป่วยรับประทานโสมไป 15,30 หรือ 60 นาที เมื่อวัดความดันโลหิตพบว่า ความดันลดลงจากก่อนรับประทาน
จากการทดลองกับคนที่มีสุขภาพดีจำนวน 50 คน พบว่าเมื่อให้รับประทานโสม ทุกคนจะมีความดันโลหิตลดลง มี      5 คนที่รู้สึกจิตใจผ่อนคลายและเกิดอาการง่วงนอน นอกจากนี้ สำหรับคนที่ดื่มสุราก็มีความดันโลหิตลดลง หลังจากนั้น รู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับสนิทแต่ผลดังกล่าวจะมีฤทธิ์คงอยู่ภายในเวลาที่จำกัดไม่ใช่ตลอดไป แต่ถ้าเรารับประทานโสมอย่างต่อเนื่องภายในระยะเวลาช่วงหนึ่ง หลังจากนั้น แม้ว่าเราจะไม่ได้รับประทานโสมอีกต่อไป แต่ความดันโลหิตก็ยังคงลดลงได้อีก
ในการใช้โสมควรระวังต่อไปนี้ ภายหลังรับประทานโสม 1 ชั่วโมง ห้ามทำกิจกรรมใดๆที่อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้ อาทิ วิ่งเหยาะๆ ตีเทนนิส ปีนบันไดหรืออยู่ในที่อากาศแออัด  โสมมีสรรพคุณที่ช่วยลดความดันอย่างรวดเร็วป้องกันเลือดคั่ง  และยังช่วยสร้างคอเลสเตอรอลที่มีประโยชน์ ป้องกันการแข็งตัวของเส้นเลือดแดง ช่วยปรับระบบการหมุนเวียนของเลือด จนลดความดันโลหิตได้
คำถาม : คนที่มีความดันโลหิตต่ำ เมื่อรับประทานโสมจะช่วยเพิ่มความดันโลหิตหรือไม่?
ตอบ : คนที่มีความดันโลหิตต่ำ เมื่อรับประทานโสมแล้วจะช่วยให้ความดันสูงขึ้น เพราะคนที่มีความดันต่ำ การเต้นของหัวใจอ่อน จะไม่มีแรงเพียงพอที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงยังส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อรับประทานโสมแล้ว จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจ ทำให้ระบบการสูบฉีดเลือดดีขึ้น ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้น จะช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่ขาดออกซิเจนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้ร่างกายกลับสู่สภาพสมดุล คนที่รับประทานโสมจึงมีหน้าตาที่แจ่มใส มีสีเลือดมากขึ้น
คำถาม : โสมช่วยลดคอเลสเตอรอลจริงหรือไม่?
ตอบ : หลังรับประทานโสมแล้ว ปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่จะมีคุณภาพที่ดีขึ้น
ค่าคอเลสเตอรอลในร่างกายหมายถึง ปริมาณคอเลสเตอรอลรวมที่มีอยู่ในเลือด ซึ่งรวมทั้งคอเลสเตอรอลดีและไม่ดีด้วยกัน ชนิดแรกคือ HDL (คอเลสเตอรอลที่มีนิวคลีโอโปรตีนสูง) และชนิดหลังคือ LDL (คอเลสเตอรอลที่มีนิวคลีโอโปรตีนต่ำ) โสมมีสรรพคุณช่วยลด LDL และเพิ่ม HDL ของร่างกายได้ดี นอกจากนี้ยังช่วยปรับคุณภาพของตับให้ดีขึ้น และยังช่วยรักษาปริมาณคอเลสเตอรอลในร่างกายให้อยู่ในระดับที่สมดุลได้
คำถาม : ผู้ป่วยสมองอัมพาตใช้โสมได้หรือไม่?
ตอบ :  สาเหตุของสมองอัมพาตมี 2 ชนิด ชนิดแรก เกิดจากเส้นเลือดฝอยในสมองแตก เมื่อเลือดไหลออกมา พลาสมาในเลือดก็จะทำให้เลือดแข็งตัวและคั่งอยู่ในสมอง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและหยุดทำงาน เมื่อเส้นเลือดแตกแล้ว ก็ไม่อาจกลับสู่สภาพเดิมได้ โสมมีสรรพคุณช่วยป้องกันและรักษาเส้นเลือดแตกในสมองได้อย่างมีประสิทธิผล
สำหรับอาการอัมพาตที่เกิดจากเลือดที่คั่งในสมอง สารไขมันที่อยู่ในเลือดคั่งหรือเศษเซลล์ที่ลอกมาจากเส้นเลือดที่แตก ก็จะไปอุดตันตามเส้นเลือดต่างๆในสมอง เป็นที่น่ายินดีว่า สารซาโปนินในโสม มีสรรพคุณช่วยสลายใยโปรตีนที่ทำให้เป็นอัมพาตอันเกิดจากเลือดคั่งในสมอง ได้
ถึงแม้ว่าโสมจะมีผลในการป้องกันสมองอัมพาตได้ดี แต่ก็ต้องอาศัยการรับประทานที่ต่อเนื่องอย่างจริงจังจึงจะเห็นผลได้ เมื่อเรารับประทานอย่างสม่ำเสมอแล้วสุขภาพก็จะดีขึ้นตามที่คาดหวังได้ และจากข้อมูลพบว่าคนที่เคยล้มป่วยเพราะสมองอัมพาต หลังบำบัดด้วยโสมมีจำนวนไม่น้อยที่สามารถหายดีกลับเป็นปกติอีกครั้ง 
คำถาม : ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารเป็นแผลมีวิธีการรักษาด้วยโสมได้อย่างไร?
ตอบ : ผลการทดลองจากสัตว์ ทำให้รู้จักรูปแบบของโรคนี้ 5 ลักษณะด้วยกัน ลักษณะที่เด่นๆ มี 2 รูปแบบ คือ การทดสอบโดยใช้ความเครียด และการทดสอบโดยปิดทางออกส่วนปลายของกระเพาะ
แบบแรกเกิดจากความเครียด โดยจับหนูขังอยู่ในกรงและแช่ลงในน้ำ หลังจากนั้นก็ผ่าตรวจดูสภาพภายในกระเพาะอาหารของหนู เมื่อหนูเผชิญกับความตายที่กำลังจะมาจึงจะเกิดความเครียดที่รุนแรง ทำให้หลั่งฮอร์โมนระงับความเครียดจำนวนมากออกมา ฮอร์โมนชนิดนี้จะไปกระตุ้นการหลั่งของน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ทำให้เอนไซม์ที่ย่อยโปรตีนไปทำลายผนังกระเพาะอาหารจนเกิดแผลในกระเพาะ
สาเหตุนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนในปัจจุบันเป็นโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล ซึ่งมีร้อยละ 80 ของสาเหตุทั้งหมด เพราะคนปัจจุบันมีความเครียดสูงทั้งในเรื่องการทำงาน ครอบครัว และเศรษฐกิจ เข้ามารุมล้อม จึงทำให้เป็นโรคนี้กันมาก ผู้ป่วยประเภทนี้ เมื่อใช้มือกดที่บริเวณกระเพาะอาหารจะรู้สึกปวดโสมจะช่วยรักษาได้ผู้ป่วยที่มีอาการเพียงเล็กน้อย รับประทานโสมจะช่วยบำบัดได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ก็จะช่วยลดอาการได้เช่นกัน
แบบที่ 2 การทดลองจากการมัดที่ทางออกส่วนปลายของกระเพาะอาหารทำให้น้ำย่อยในกระเพาะไม่สามารถไหลไปที่ลำไส้เล็ก ทำให้น้ำย่อยคั่งอยู่ในกระเพาะอาหารมาก จนทำให้ผนังกระเพาะอาหารเป็นแผล สาเหตุประเภทนี้ไม่สามารถใช้โสมรักษาได้ เพราะโสมไม่มีสรรพคุณที่จะระงับการหลั่งน้ำย่อยของกระเพาะอาหาร แต่ถ้าหากใช้โสมโดยที่เคยใช้ยาสำหรับระงับการหลั่งน้ำย่อยก่อน ก็จะช่วยรักษาแผลที่เกิดขึ้นได้ ทำให้กระเพาะอาหารกลับสู่ปกติได้รวดเร็ว 
คำถาม : โสมช่วยรักษาโรคมะเร็งได้หรือไม่?
ตอบ : โรคมะเร็งยังเป็นโรคที่วงการแพทย์พยายามที่จะศึกษาอยู่ และยังไม่สามารถหาวิธีรักษาที่กำจัดมะเร็งให้หมดจากโลกนี้ได้ แม้โสมซึ่งเป็นราชาแห่งมวลสมุนไพรก็ตาม ก็ไม่สามารถสกัดกั้นโอกาสที่จะทำให้เกิดมะเร็ง และก็ยังไม่สามารถรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งให้หายจากโรคนี้ได้ แต่โสมก็ช่วยในการป้องกันมิให้เกิดโรคนี้ได้ส่วนหนึ่ง และยังช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้อย่างได้ผล
คำถามที่ว่าโสมจะมีผลต่อการรักษาโรคได้อย่างไร? เราตอบได้จากข้อมูลที่ได้จากการทดลองของนักวิชาการซึ่งพบว่า เซลล์ที่อยู่ในสภาพหยุดนิ่ง เมื่อเราใส่ยีน (gene) ของโสมลงไป จะทำให้เซลล์แปรสภาพกลับเป็นเซลล์ปกติอีกครั้ง แต่นั่นก็เป็นแค่การทดลองที่ทำในหลอดทดลอง แต่มันจะเกิดผลได้จริงในร่างกายคนหรือไม่นั้น ก็ยังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป แต่อย่างน้อยก็อาจทำให้เซลล์หยุดนิ่งไม่กลายสภาพเป็นเซลล์มะเร็งต่อไป และอาจหยุดการแปรสภาพอยู่แค่ในขั้นนี้ก็ได้
โสมมีสรรพคุณช่วยสลายอาการเลือดคั่งได้ จึงเป็นธรรมดาที่จะช่วยต่ออายุให้กับผู้ป่วยมะเร็งได้ นอกจากนี้โสมยังช่วยระงับความเจ็บปวดรุนแรงที่ผู้ป่วยมะเร็งขั้นสุดท้ายต้องประสบให้ทุเลาลงได้
โดยทั่วไป ผู้ป่วยมะเร็งจะมีระบบหมุนเวียนของโลหิตไม่ดี และมีภูมิต้านทานโรคต่ำ ดังนั้น จึงทำให้เสียชีวิตได้ง่ายภายในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากที่อาการของโรคไม่ได้รับการดูแลรักษาสุขภาพอย่างดี โสมจะช่วยให้การไหลของเลือดของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยมะเร็งขึ้นสุดท้ายที่หน้าหมองคล้ำเพราะตับแข็งตัวและมีอาการผมร่วง ได้รับประทานโสม 30 กรัม ก็สามารถที่จะกลับไปดูมีสีเลือดและแจ่มใสขึ้นได้ 
คำถาม : อาการของวัยหมดประจำเดือนของผู้หญิง โสมช่วยได้อย่างไร?
ตอบ :   จากการวิจัยของนักวิชาการมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นที่สำรวจจากผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนทั่วประเทศ และทำการวิจัยสรรพคุณของโสมที่ช่วยระงับและบรรเทาอาการต่างๆของวัยหมดประจำเดือน พบว่า โสมมีประสิทธิภาพในการลดอาการ อาทิ ปวดหัว เวียนหัว ปวดเอว กล้ามเนื้อและข้อต่อแข็ง อ่อนเพลีย หายใจขัด ตาพร่า มือและเท้าเย็น ได้ดี ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนและคนที่มีอาการดังกล่าว เมื่อรับประทานโสมก็จะมีอาการดีขึ้น
คำถาม : โสมป้องกันการเกิดผลแทรกซ้อนของยาแผนปัจจุบันได้จริงหรือ?
ตอบ : ในบรรดายาแผนปัจจุบัน อาการแทรกซ้อนส่วนมากจะเกิดจากต่อมหมวกไต ฮอร์โมนต่อมหมวกไตจะช่วยในการระงับการอักเสบ อาการแพ้ และอาการช็อกได้ดี
มีการทดลองกับหนูของศาสตราจารย์ในคณะเภสัชกรรมของมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโสมกับอาการแทรกซ้อนของฮอร์โมนต่อมหมวกไต โดยได้แบ่งศึกษาหนูเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งฉีดฮอร์โมนต่อมหมวกไต และอีกกลุ่มฉีดสารส่วนผสมของโสมเข้าไปในตัวหนู และศึกษาอาการเสื่อมสภาพของต่อมหมวกไตและต่อมไธมัส (Thymus gland) พบว่า หนูที่ฉีดด้วยสารของโสมไม่เกิดอาการเสื่อมใดๆ
ฮอร์โมนต่อมหมวกไตทำให้ร่างกายเก็บกักโซเดียมไว้จนก่อให้เกิดโรคขาดโปตัสเซียมในเลือด บวมน้ำ และความดันโลหิต จากการทดลองพบว่า โสมจะช่วยรักษาความสมดุลของโปตัสเซียมในเลือด ดังนั้น โสมจึงสามารถช่วยยับยั้งการกักเก็บโซเดียมในร่างกายที่เกิดจากฮอร์โมนต่อมหมวกไตได้ นอกจากนี้ยังพบว่า โสมยังช่วยให้ร่างกายกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนต่อมหมวกไตโดยธรรมชาติได้ ซึ่งหมายความว่า  เราไม่จำเป็นต้องฉีดฮอร์โมนเข้ามาจากภายนอกอีก ร่างกายก็สามารถผลิตฮอร์โมนขึ้นมาได้ทำให้เกิดเอนไซม์ระงับการอักเสบ และไปรักษาอาการของโรคต่างๆ ได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหอบ ไขข้ออักเสบและมะเร็ง ถ้าได้บำบัดโสมอย่างทันท่วงทีก็จะรักษาโรคได้
คำถาม : หญิงตั้งครรภ์ใช้โสมได้หรือไม่?
ตอบ : โสมเป็นสมุนไพรธรรมชาติที่ไม่ก่อผลต่อสุขภาพทารกแล้ว ยังช่วยให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงและรักษาโรคโลหิตจาง มีแต่ผลดีต่อแม่และทารกเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม การรับประทานอาหารและยาของหญิงมีครรภ์ก็ต้องอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ มากหรือน้อยเกินไปก็ไม่ใช่สิ่งดีสำหรับสุขภาพของแม่แต่อย่างใด และข้อสำคัญ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน และการบริโภคควรอยู่ในการควบคุมของแพทย์
คำถาม : เด็กรับประทานโสมได้หรือไม่?
ตอบ : โสมมีสรรพคุณช่วยการหมุนเวียนของเลือด ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ปรับความสมดุลของระบบประสาท กระตุ้นการเผาผลาญ เพิ่มภูมิต้านทานโรคและปรับความสมดุลของเชื้อโรคช่วยย่อยอาหารที่อยู่ในลำไส้ ดังนั้น เด็กที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต เมื่อรับประทานโสมจะช่วยให้การเติบโตเกิดความสมดุล
โดยเฉพาะเด็กที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ เป็นไข้หวัดง่าย ลำไส้ทำงานไม่ดี ร่างกายอ่อนแอ และเด็กที่มีโรคไตเสื่อม ยิ่งควรต้องรับประทานโสมเป็นประจำ
คำถาม : หลังจากรับประทานเป็นเวลานานเท่าใด การทำงานของโสมจึงจะแสดงผล?
ตอบ : คำตอบนี้ขึ้นอยู่กับอาการและชนิดของโรค เช่น ถ้าเป็นแค่แก้อาการอ่อนเพลีย หลังรับประทาน 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง อาการก็จะหายไป กรณีมีอาการของความดันโลหิต หลังรับประทาน 15 นาที ความดันก็จะลดลง และกลับไปเหมือนเดิมเมื่อผ่านไป 2 ชั่วโมง ผู้ป่วยโรคโลหิตจาง หลังรับประทานโสม 1 เดือนก็จะเห็นผลดีขึ้น
สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งและผู้ชราที่ต้องรับประทานโสมจำนวนมาก พละกำลังและสีเลือดบนใบหน้าจะดูดีขึ้นชั่วคราว อาการปวดรุนแรงของผู้ป่วยมะเร็งจะบรรเทาลงหลังรับประทานโสมในวันต่อมา สำหรับระยะเวลาของโรคยิ่งนานเท่าใด เวลาที่บำบัดด้วยโสมก็ยิ่งต้องใช้เวลานานด้วย เช่น โรคเส้นเลือดแข็งตัวที่มีอายุของโรค 5-10 ปี ใช้โสมบำบัดเพียง 1-2 เดือน ผลของการรักษาจะยังไม่เห็นแน่นอน แต่หลังจากบำบัด 4-5 เดือน หรือครึ่งปีขึ้นไป ก็จะค่อยๆ เห็นสรรพคุณรักษาของมัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
คำถาม : โสมรับประทานร่วมกับยาชนิดอื่นได้หรือไม่?
ตอบ : โสม เป็นยาสมุนไพรตามธรรมชาติที่ไม่มีส่วนประกอบทางเคมีที่มีฤทธิ์รุนแรง และเป็นคุณสมบัติพิเศษของโสมที่จะมีสาร 2 ชนิด ที่มีฤทธิ์ต้านกันอยู่ร่วมในตัวโสมได้ ส่วนใหญ่ก็จะทานร่วมกับยาอื่นได้และไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย แต่เพื่อความไม่ประมาทแล้ว เราควรจะหลีกเลี่ยงที่จะรับประทานโสมพร้อมกับยาแผนสมัยใหม่ ควรเว้นจากหลังรับประทานยาไป 2 ชั่วโมง จึงรับประทานโสมตาม
สำหรับโสมที่จะรับประทานร่วมกับยาจีนสมุนไพรชนิดอื่น ก็ต้องระวังในเรื่องการต้านฤทธิ์ยา ถ้ายาสมุนไพรนั้นมีฤทธิ์ที่คล้ายหรือเหมือนกับโสม ก็รับประทานร่วมกันได้ไม่มีปัญหาใด แต่ถ้าเป็นยาที่รักษาอาการโรคที่ต่างจากโสมก็ไม่ควรรับประทานพร้อมกัน
คำถาม : โรคเบาหวานรับประทานโสมได้หรือไม่?
ตอบ : รูปแบบของโรคเบาหวานมี 2 แบบ
ชนิดแรก เป็นเบาหวานชนิดที่เป็นในผู้เยาว์เกิดจากเซลล์ในตับอ่อนถูกทำลายจนไม่อาจผลิตอินซูลินได้ ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ลักษณะเฉพาะอยู่ที่น้ำตาลในน้ำปัสสาวะจะมีมาก ผู้ป่วยชนิดนี้ไม่อาจบำบัดโรคได้ด้วยโสม
ชนิดที่ 2 เป็นโรคเบาหวานชนิดที่เป็นในผู้ใหญ่ น้ำตาลในเลือดจึงไม่สูงเหมือนชนิดแรก แต่ก็จะมีน้ำตาลสูงในน้ำปัสสาวะเช่นกัน โรคเบาหวานชนิดนี้เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปสาเหตุเพราะเซลล์ตับอ่อนถูกทำลายจนการทำหน้าที่ตามปกติลดลงโรคเบาหวานชนิดนี้เมื่อรับประทานโสมจะทำให้น้ำตาลในเลือดลดอย่างรวดเร็วแต่น้ำตาลในน้ำปัสสาวะยังคงเดิม แต่ถ้ารับประทานโสมอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ก็จะทำให้น้ำตาลในน้ำปัสสาวะค่อยๆลดลงได้เช่นกัน โสมมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวานได้อย่างมีผลเช่น อาการคอแห้ง อ่อนเพลีย ฯลฯ ก็จะหมดไป หลังรับประทานโสมเพียงวันเดียว โดยเฉพาะโสมคนจะมีส่วนประกอบที่ช่วยรักษาโรคเบาหวาน มะเร็ง และเส้นเลือดแข็งตัวได้ดีกว่าโสมชนิดอื่นๆ
คำถาม : โสมรับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานได้หรือไม่?
ตอบ : แน่นอน ท่านสามารถรับประทานโสมเป็นประจำโดยไม่ต้องกังวล สรรพคุณของโสมกว้างขวางมาก ไม่เหมือนยาแผนสมัยใหม่ที่รักษาอาการได้เฉพาะอย่าง สรรพคุณหลักๆ แบ่งเป็น 6 ประการต่อไปนี้
1.    ช่วยการหมุนเวียนของเลือด ช่วยสร้างเลือด ห้ามเลือด และระงับอาการอักเสบได้
2.    เพิ่มภูมิต้านทานโรคของร่างกาย
3.    ปรับปรุงการเผาผลาญของไขมัน,เพิ่มคุณภาพการทำงานของตับ,ช่วยการผลิตอสุจิ,ลดอาการอ่อนเพลีย
4.    ปรับความสมดุลของระบบการผลิตฮอร์โมนช่วยเร่งผลิตฮอร์โมนระงับความเครียด
5.    รักษาสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติ
6.    ปรับความสมดุลของเชื้อโรคที่อยู่ในลำไส้ ต้านทานพิษของเชื้อโรคที่ปล่อยในลำไส้ และช่วยเพิ่มเชื้อโรคที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซึมของลำไส้
โสม นอกจากจะช่วยรักษาและบรรเทาอาการโรคแล้ว ยังช่วยทำให้อาการกลับเป็นปกติได้ ทำให้ร่างกายมีสภาพที่ดีขึ้นด้วย แต่ต้องใช้ระยะเวลาช่วงหนึ่งในการรับประทานจึงจะเห็นผลของการรักษาได้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคมา 20 ปี ก็ต้องรับประทานโสมเป็นเวลา 20 ปี และหลังจากที่หายจากโรคก็ต้องรับประทานโสมอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันโรคจะย้อนกลับมาเป็นอีกครั้ง
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
 
เรียบเรียงจาก: กอไชย  โตศิริโชค พลังแห่งพืชสมุนไพร โสม สำนักพิมพ์ มายิก , 2537



สุขภาพ (Healthy)

โรคแพ้อากาศ article
เป็นพ่อแบบไหน ลูกวัยรุ่น จึงจะไม่มีปัญหา article
คำพูดเปรียบเหมือนนำผึ้งหรือยาพิษ article
อาหารเพื่อสุขภาพ article
เตรียมตัวเสียสาว article
สอนลูกเรื่องเซ็กซื สอนเด็กเรื่องรัก article
สุขภาพจิตดี เมื่อมีเพื่อนและลูกหลาน article
วัคซีนป้องกันโรคมะเร็ง(HPV)
ทำอะไร? หลังเกษียณ
ส่วนประกอบ อาหารเสริมพลังชาย
ยืดการตาย จากการเป็นมเร็ง
กาแฟ (coffee)
ฝากท้องเร็วไว ก่อน 3 เดือนรก แจกรางวัล
Maca
ไข้หวัดนก article
บทความเพื่อสุขภาพ article
สุขภาพมีความสำคัญกับการพัฒนาประเทศอย่างไร article
อาหารเสริมเพิ่มพลังเซ็กซ์ article
รู้ว่ามีกลิ่นปาก ทำอย่างไร article
กามตายด้านในผู้หญิง article
ตกขาวมีความสำคํญ ในสตรีจริงหรือ article
วัยรุ่น กับการมีเพศสัมพันธ์ article
ลูกสาววัย 14 อกหัก article
เทคนิค การครองชีวิตคู่ article
สร้างคุณค่า ให้เวลาแก่ครอบครัว article
เซ็กซ์ สาเหตุใหญ่ ทำให้ชีวิตคู่พัง article
วิธีป้องกันโรคหวัดมรณะ(sars) article
วัยทองวัยแห่งคุณค่า article
lสุขบัญญัติแห่งชาติ 10 ประการ article
เครือข่ายสุขภาพ article
ความรัก คือ อะไร ??? article
พ่อถามลูก article



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
Link :